เช็ค

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ประวัติศาสตร์ชาติไทย

ในประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น ประชาชนชาวไทยได้เสียสละชีวิต ร่วมมือกันฟันฝ่าอุปสรรค     ช่วยกันพัฒนาสร้างบ้านเมืองมาโดยลำดับ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ทุ่มเทให้แก่แผ่นดิน ช่วยสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคงสถาพรให้ชาติไทยได้มีเอกราชสืบต่อมาจนทุกวันนี้
พระเจ้าพรหม มหาราชองค์แรกของไทย

ประเทศไทย ตั้งอยู่ท่ามกลางคาบสมุทรอินโดจีน มีเนื้อที่ประมาณ 200,148 ตารางไมล์ หรือประมาณ 514,000 ตารางกิโลเมตร
ภูมิประเทศ ภาคเหนือเป็นที่สูง มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนกันหลายพืด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ราบสูง ภาคกลางเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีแม่น้ำสำคัญหลายสาย ภาคใต้เป็นภูเขาติดต่อเป็นทิวยาวไปทางทิศใต้ มีที่ราบแถบชายทะเล

ภูมิอากาศ ประเทศไทยอยู่ในแถบร้อน มี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ดูฝน และฤดูหนาว
ประเทศไทยมีพลเมือง 60 ล้านคน (สถิติเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2539, เวลา 09.48 น. มีเด็ก 10 คน เกิดในเวลานี้ทั่วประเทศ) พลเมืองส่วนมาก นับถือศาสนาพุทธ
เมืองหลวงของประเทศไทย คือ กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บน สองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสร้างกรุงเทพ ฯ ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นศูนย์กลางการค้า การอุตสาหกรรม การศึกษา และการคมนาคม
ข้อมูลประเทศไทย
สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานผลการสำรวจสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2543 ซึ่ง เป็นการจัดทำทุกระยะ 10 ปี สรุปว่า ณ วันที่ 1 เม.ย.2543 มีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศไทย 60.6 ล้านคน เป็นชาย 29.8 ล้านคน และหญิง 30.8 ล้านคน เพิ่ม 1.05 % ต่อปี เมื่อจำแนก ตามหมวดอายุ พบว่าเป็นประชากรวัยเด็กสูงถึง 14 ปี 24.1 % วัยทำงาน 15-59 ปี 65.5 % และวัยสูงอายุ 9.4 % ทั้งนี้ ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด หรือ 99.5 % เป็น ผู้มีสัญชาติไทย โดยนับถือศาสนาพุทธ 94.6 % ศาสนาอิสลาม 4.6 % และที่เหลือนับถือศาสนา อื่น เช่นคริสต์
โดยคนไทยมีแนวโน้มแต่งงานช้าลง และผู้หญิงแต่งงานเร็วกว่าผู้ชาย ซึ่งในการสำรวจ ของปี 2543 พบว่าผู้หญิงแต่งงานครั้งแรกเมื่อมีอายุเฉลี่ยประมาณ 24.1 ปี ผู้ชายประมาณ 27.2 ปี ในขณะที่ปี 2533 ผู้หญิงแต่งงานครั้งแรกเมื่ออายุ 23.5 ปี และผู้ชายประมาณ 25.9 ปี นอกจากนี้การมีบุตรของผู้หญิงโดยเฉลี่ยก็ลดลงเช่นกันคือ ผู้หญิงที่เคยสมรสอยายุ 15-49 ปี มีบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยประมาณ 2.4 คน ในปี 2533 และลดลงเหลือ 1.7 คน ในปี 2543 อีกทั้ง มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นหญิงเพิ่มขึ้นในปี 2543 คิดเป็น 25.5 % ของครัวเรือนทั้งสิ้น เปรียบเทียบ กับ 19.4 % ในปี 2533

แหล่งที่มา http://www.encyclopediathai.org/thaihis/history.htm

ศาลยกคำร้องขอประกันตัว!"เจ๋ง ดอกจิก"นอนคุกยาว


ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.10 น. วันนี้ (5 ก.ย.) ศาลอ่านคำสั่งขอปล่อยชั่วคราวนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ "เจ๋ง ดอกจิก" ผู้ช่วยเลขานุการรมช.มหาดไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และจำเลยที่ 7 ในคดีก่อการร้ายที่ถูกศาลสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวไว้ หลังจากที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความใช้เงินสด 6 แสนบาท ยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่เมื่อวันที่ 3 ก.ย. โดยมีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตรมช.มหาดไทย มาเบิกความรับรองความประพฤติให้จำเลย

เมื่อถึงเวลานัด ศาลได้เบิกตัวนายยศวริศมาฟังคำสั่ง โดยมีนางกรุณา มอริส ภรรยาของนายยศวริศ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานนปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาร่วมฟังคำสั่งและให้กำลังใจนายยศวริศด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 7 เคยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว แต่จำเลยยังกระทำการฝ่าฝืนเงื่อนไขในการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลกำหนด และยังกระทำการในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น ศาลจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 7 เมื่อวันที่ 22 ส.ค.55 การที่จำเลยมายื่นคำร้องขออนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในครั้งนี้ โดยจำเลยที่ 7 เบิกความในชั้นไต่สวนว่าจำเลยมีความสำนึกผิดแล้ว หากได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวจากศาลอีกครั้งขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด จะทำหนังสือขอโทษต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 7 และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 7 อีก และจะระมัดระวังการกระทำของตนเองมิให้เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการละเมิด กระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงเกียรติยศของบุคคลอื่น โดยมีพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตรมช.มหาดไทย และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยมาเบิกความรับรองความประพฤติของจำเลยที่ 7 นั้น พยานทั้งสองเพียงแต่ให้คำรับรองตามความเห็นของพยานเอง ส่วนคำมั่นที่จำเลยให้ไว้กับการบรรเทาผลร้ายที่จะกระทำต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 7 จำเลยเพียงแต่กล่าวอ้างขึ้น โดยยังไม่มีพฤติการณ์แสดงออกชัดว่าได้เริ่มดำเนินการไปแล้วบ้างหรือไม่

หรือหากศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งนี้ จำเลยจะกระทำการตามที่แถลงไว้จริง จากเหตุผลที่วินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้นประกอบกับการสูญเสียอิสรภาพของจำเลยในเวลาอันสั้น ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจำเลยรู้สำนึก มีความรู้สึกยับยั้งชั่งใจในการคิดใคร่ควรว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ มีความรู้สึกเข็ดหลาบและหลาบจำต่อการกระทำความผิดของตน หากจำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปจะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและจะไม่กระทำการใดๆ อันอาจก่อให้เกิดภยันตรายประการอื่นอีก จึงเห็นสมควรให้ยกคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7 และคืนหลักประกันให้แก่ผู้ประกัน

ด้านนายวิญญัติ กล่าวภายหลังว่า หลังจากนี้จะทำหนังสือแสดงความสำนึกผิดส่งถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดภายในสัปดาห์หน้า เพื่อแสดงให้ศาลอาญาให้เห็นว่าจำเลยได้รู้สึกสำนึกผิดและได้มีการปฏิบัติอย่างชัดเจนตามคำสั่ง ขณะที่การพิจารณายื่นขอประกันตัวใหม่น่าจะไม่เกินเดือนต.ค.นี้ ซึ่งหลักทรัพย์อาจจะใช้จำนวนเดิม เพราะคำสั่งศาลวันนี้ไม่มีการพูดถึงเรื่องหลักทรัพย์ว่าน้อยไป รวมทั้งไม่ได้พูดถึงข้อกฎหมายอื่นที่จะไม่ให้ยื่นประกันอีก

ตั้ง"องค์ภา"เป็นทูตไทย ประจำเวียนนา-ออสเตรีย "บัวแก้ว"ขอประทานถวาย


เมื่อวันที่ 4กันยายน ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติรับโอนพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ข้าราชการอัยการตำแหน่ง อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และแต่งตั้งให้ทรงดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต(นักบริหารการทูตระดับสูง)ประจำคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย

ซึ่งเป็นไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศ ขอประทานถวายตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา สืบแทนนายสมศักดิ์ สุริยวงศ์ ซึ่งรัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรียได้ตอบรับการเสนอขอความเห็นชอบการแต่งตั้งดังกล่าวแล้ว

โดยยังทรงปฏิบัติพระภารกิจ ในฐานะเอกอัครราชทูตประจำคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา จนสิ้นสุดวาระการเป็นองค์ประธานคณะกรรมาธิการฯในเดือนธันวาคม 2555 ทั้งนี้ การแต่งตั้งดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ได้มีมติอนุมัติการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทผู้บริหารระดับสูง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ คือ1.นายสมศักดิ์ สุริยวงศ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส แทน นายวีรพันธุ์ วัชราทิตย์ ที่เกษียณอายุราชการ

2.นายวราวุธ ชูวิรัช อัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แทนนายสมชัย จรณะสมบูรณ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม ราชอาณาจักรสวีเดน

3.นายเสข วรรณเมธี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ แทน นายจิระชัย ปั้นกระษิณ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเม็กซิโก สหรัฐเม็กซิโก ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป


พบกรดร้ายแรง ปนเปื้อนน้ำในนา ย่านลาดกระบัง


กทม.ระบุ น้ำในนาย่านลาดกระบัง ปนเปื้อนกรดร้ายแรง
จากกรณีที่ มีประชาชนเข้าแจ้งกับสำนักงานเขตลาดกระบังว่า น้ำในที่นาบริเวณด้านข้างทางเข้าสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่องลาดกระบัง มีสัตว์น้ำตายเป็นจำนวนมาก และน้ำยังมีลักษณะเป็นสีแดง มีตะกอน และมีคราบสีแดงลอยเหนือผิวน้ำ ประกอบกับต้นไม้ใกล้ๆ มีสภาพยืนต้นตาย
ล่าสุด นายสัญญา จันทรัตน์ ที่ปรึกษาผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า จากการลงไปสำรวจตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว พร้อมส่งตัวอย่างน้ำไปตรวจพบว่า น้ำในที่นาบริเวณดังกล่าว มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างร้ายแรง แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นชนิดใด เพื่อไม่ให้มีผลกระทบเป็นวงกว้างตอนนี้จึงได้สั่งห้ามระบายน้ำออกจากที่นา
เบื้องต้นได้นำปูนขาวละลายน้ำมาฉีพ่นเพื่อให้กรดเจือจางลง พร้อมทั้งตรวจสอบทุกๆ 48 ชั่วโมง คาดว่าใน 1 สัปดาห์ น้ำน่าจะเจือจางลง จากนั้นจึงปรับคุณภาพดิน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต้องรอตรวจสอบอีกทีว่าสารดังกล่าวถูกปล่อยมาจากโกดังไหน ซึ่งผู้กระทำจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี นายสัญญา กล่าว


ที่มา  http://news.mthai.com/general-news/190203.html

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ตะลึง!แม่น้ำแยงซีเป็นสีเลือด


แม่น้ำแยงซีในจีนกลายเป็นสีแดงหลายคนเชื่อสัญญาณวันสิ้นโลกเหตุพ้องข้อความในพระคำภีร์ใบเบิ้ล
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวจีนที่อาศัยอยู่แถบแม่น้ำแยงซี หรือ แม่น้ำฉางเจียง ในเขตเทศบาลนครฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ต้องตกตะลึง เมื่อน้ำในแม่น้ำกลายเป็นสีแดงอมส้มโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาตรวจสอบสาเหตุที่ชัดเจน ขณะที่ประชาชนบางกลุ่มเริ่มหวั่นวิตก ว่านี่อาจเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลก ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นได้
เอมิลี สเตนลีย์ ศาสตราจารย์ด้านชลธีวิทยาของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า เหตุการณ์นี้ไม่น่าเกิดจากการเปลี่ยนสีเพราะสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำพวกแบคทีเรียลอยขึ้นมารับออกซิเจน เนื่องจากปรากฏการณ์ที่ว่า มักเกิดในน้ำทะเลมากกว่าน้ำจืด จึงมีความเป็นไปได้ว่า เกิดเพราะฝีมือมนุษย์
เมื่อธ.ค.ปีก่อน เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วที่แม่น้ำเจียน ในเมืองลั่วหยาง ทางเหนือของมณฑลเหอหนาน แต่ครั้งนั้น น้ำเปลี่ยนสีเนื่องจากปนเปื้อนสารย้อมสีจำนวนมาก ที่ถูกทิ้งจากโรงงานผลิตสารย้อมสี 2 แห่งในเมือง ซึ่งต่อมาทางการได้สั่งปิดโรงงานทั้งสอง และสั่งให้แยกชิ้นส่วนเครื่องจักรของโรงงานทั้งหมด
เหตุการณ์ในแม่น้ำแยงซีกลายเป็นสีแดง พ้องกับข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล ของคริสต์ศาสนา ที่ระบุว่า เทวดาจะโยนบาปทั้งหลายลงสู่แม่น้ำ ทำให้แม่น้ำกลายเป็นสีแดงฉาน เป็นหนึ่งในสัญญาณว่าวันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามา



อุตุฯ ประกาศเตือน ฝนตกหนัก ฉบับที่ 1


ในช่วงวันที่ 13-17 กันยายน 2555 ร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบน จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน มีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากสภาวะอากาศดังกล่าว และติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด ในระยะนี้ อนึ่ง เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (12 ก.ย. 55) พายุโซนร้อน "ซันปา" (SANBA) บริเวณด้านตะวันออก ของประเทศฟิลิปปินส์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 12.8 องศาเหนือ ลองจิจูด 131.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนตัวไปใกล้บริเวณเกาะไต้หวัน ในระยะต่อไป ประกาศ ณ วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 11.30 น.  


วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ชาวอเมริกันรอร่วมรำลึก11ปีเหตุการณ์9/11


ชาวอเมริกันหลายพันคน รอร่วมพิธีรำลึก 11 ปี โศกนาฏกรรม เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์
ชาวอเมริกันหลายพันคน เตรียมร่วมพิธีรำลึก 11 ปี โศกนาฏกรรม เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2001 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยปีนี้ จุดจัดงานรำลึกที่ใหญ่ที่สุดในแมนแฮตตัน จะมีเพียงครอบครัวกว่า 2,750 คน ของผู้ที่เสียชีวิตปรากฏบนเวที เพื่ออ่านชื่อของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากเมื่อปีก่อน ที่มี ประธานาธิบดี บารัค โอบามา และนายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก เป็นผู้อ่านชื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต เพราะติดข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่จะมี เจเน็ต นาโปลิตาโน รัฐมนตรีความมั่นคง เข้าร่วมพิธีเพียงคนเดียว
ขณะที่ กระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ที่อยู่ด้านนอกของวอชิงตัน และมีมากกว่า 180 เสียชีวิต จากเหตุการณ์วันเดียวกัน จะมีรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ลีออน พาเน็ตตา เป็นประธานในพิธีรำลึก เช่นเดียวกับ รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะไปร่วมพิธีที่ เพนซิลวาเนีย
ทั้งนี้ ในนิวยอร์ก จะมีช่วงเวลาการสงบนิ่งไว้อาลัย ในเวลา  08.46 น., 09.03 น., 09.37 น. และ 10.03 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องบินแต่ละลำพุ่งชนตึก โดยที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา และ มิเชล ภรรยา จะร่วมพิธียืนสงบนิ่งไว้อาลัย บนสนามหญ้าในทำเนียบ

'มวยไทย'ไปธุรกิจโลก!

หลายคนคงเคยได้ยินและคิดถึงกันแต่คำว่า “มวยไทยจะไปมวยโลก” ซึ่งคำพูดดังกล่าวเป็นการกล่าวถึงกีฬามวยไทยในแง่กีฬาเพียงด้านเดียว แต่หากจะพูดถึงมวยไทยในทุกวันนี้ คงต้องคำนึงถึงทั้งในด้านของการกีฬาและในด้านของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจมวยไทยในระยะสิบปีมานี้ เติบใหญ่สร้างรายได้เข้าประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมมากมาย


  แยกออกมากล่าวถึงมวยไทยในแง่ของกีฬาที่จะก้าวไปสู่ความเป็นสากลเป็นประเด็นแรก ในประเด็นนี้ถ้าจะเอากันอย่างจริงจัง ถึงขั้นก้าวไปสู่โอลิมปิกหรือกีฬาระดับอาชีพของโลกคงไม่ง่ายนัก หากกติกาการแข่งขันมวยไทยยังไม่สามารถทำให้เป็นมาตรฐานได้ ประเด็นนี้คนที่อยู่นอกวงการหรือคนที่ชมมวยไทยในแบบกีฬาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพนันคงยากที่จะเข้าใจ  
          แต่สำหรับคนที่เข้าข่ายเซียนมวยน่าจะรู้ดีว่า ตราบใดที่มาตรฐานการตัดสินของกรรมการในสามสนามมวยหลัก คือ ราชดำเนิน ลุมพินี และสนามมวยอ้อมน้อย ยังคงยึดแนวทางการให้คะแนนที่ต่างกันออกไป ก็คงยากที่จะให้คนนอกวงการโดยเฉพาะชาวต่างชาติเข้าใจได้ว่า ทำอย่างไรจึงจะเกิดผลแพ้ชนะในการเข้ามาเล่นกีฬามวยไทย   
          สิ่งที่ดูจะง่ายที่สุดสำหรับการเผยแพร่มวยไทยไปสู่โลกกว้างก็คือ การสร้างธุรกิจมวยไทยอย่างเต็มรูปแบบซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะทุกวันนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า มีค่ายมวยหลายแห่งที่ไม่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อหวังผลทางด้านกีฬามวยเป็นหลัก แต่หวังผลทางด้านธุรกิจรับสอนมวยไทยให้แก่ชาวต่างชาติซึ่งได้ผลกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า ซึ่งก็ยังต้องทำการสร้างนักมวยส่งเข้าสู่การแข่งขันมวยไทยตามเวทีทั่วไป เพราะการมีนักมวยที่ได้รับตำแหน่งโน่นนี่นั่น ยังเป็นการประชาสัมพันธ์หรือเป็นตัวสร้างแรงดึงดูดที่ดีที่สุด
          โลกนี้ถูกกำหนดโดยธุรกิจไม่เว้นแม้แต่กีฬา ดังนั้น เมื่อหันมามองในมุมของธุรกิจมวยไทยจะพบว่า มวยไทยออกไปสร้างรายได้นอกประเทศให้แก่คนไทยจำนวนมาก ทั้งในญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สเปน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มียิมมวยไทยที่มีอดีตนักมวยไทย ไปรับจ้างเป็นโค้ชเป็นครูสอน มีรายได้ส่งกลับมาเลี้ยงครอบครัวทางเมืองไทยอย่างสบาย หรือมีแม้กระทั่งอดีตนักมวยไทยไปลงทุนหรือไปร่วมทุนสร้างชื่อเสียงและมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
          ในประเทศไทยเองเมื่อมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเกิดขึ้น หากเจ้ากระทรวงคิดได้คิดเป็นและมองเห็นทะลุช่องทาง ก็น่าที่จะให้การส่งเสริมค่ายมวยต่างๆ ให้ปรับปรุงเป็นยิมมาตรฐานเช่นที่ต่างประเทศมีกัน ด้วยการหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสนับสนุนด้านวิชาการทำยิมมวยไทย แนะนำการหาตลาดต่างประเทศที่จะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาฝึกฝนมวยไทย ซึ่งนอกเหนือจากจะได้ประโยชน์ทั้งท่องเที่ยวและกีฬาตามชื่อกระทรวงแล้ว ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย สร้างงาน, สร้างเงินนำเงินเข้าประเทศได้ไม่แพ้การหารายได้จากทางอื่นๆ อีกด้วย


ปูติดโผชิงรางวัลสันติภาพขงจื้อ

"ยิ่งลักษณ์" ติดโผรายชื่อผู้ชิงรางวัลสันติภาพขงจื้อของจีน ร่วมกับบุคคลดังทั้ง "โคฟีอันนัน" "บัน คี-มูน" "บิลเกตส์"
       เมื่อวันที่ 9 ก.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศูนย์วิจัยสันติภาพระหว่างประเทศจีน (ซีไอพีอาร์ซี) ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล สันติภาพขงจื๊อประจำปี 2555 โดยหนึ่งในนั้นมีชื่อของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และบุคคลสำคัญผู้มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน อาทิ นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบัน นายบิล เกตส์ อภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ นายหวัง ติงกว๋อ นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมชาวจีน ศจ.ถัง ยี้ฉี แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง นายหยวน หลงผิง นักวิจัยข้าวชาวจีน และ ปันเชน ลามะ องค์ที่ 11 ผู้นำทางศาสนาของชาวทิเบต

     ทั้งนี้ในปี 2554 นายวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนายกรัฐมนตรีของรัสเซีย ได้รับรางวัลนี้เนื่องจากมีความโดดเด่นจากการคัดค้านการใช้กำลังกับลิเบีย ส่วนผู้ได้รับรางวัลคนแรกในปี 2553 คืออดีตประธานาธิบดีเหลียน จ้านแห่งไต้หวัน ในฐานะผู้มีบทบาทเชื่อมสันติภาพระหว่างไต้หวันและแผ่นดินใหญ่
สำหรับรางวัลสันติภาพขงจื๊อได้ริเริ่มขึ้นในปี2553 โดยใช้ชื่อนักปรัชญาขงจื๊อเป็นชื่อรางวัล เพราะต้องการตีความคำว่าสันติภาพตามความหมายของชาวจีน และการมอบรางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนไม่พอใจที่ในปีเดียวกันคณะกรรมการรางวัลโนเบลให้รางวัลสาขาสันติภาพแก่นายหลิว เสี่ยวโป นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวจีนที่ต้องโทษจำคุกคดีปลุกระดมโค่นล้มรัฐบาล




วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

สภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.15 ฉบับ-ร่างปรองดอง

  การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ซึ่งจะเริ่มเวลา 13.00 น.โดยมีพิจารณาเรื่องที่ที่ประชุมเห็นชอบให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ จำนวน 15 ฉบับ ที่คณะกรรมธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว เช่น ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พิจารณากรณีแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ที่โอนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไปเป็นของกรมป่าไม้ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ อยู่ในลำดับที่ 16-19
        ส่วนการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 6 กันยายนนี้ ส.ส.ฝ่ายค้านเตรียมเสนอญัตติให้เลื่อนญัตติการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของฝ่ายค้านขึ้นมาพิจารณา


แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000109130

"ปชป."ฟันธงดัน"สุขุมพันธุ์"ชิงผู้ว่าฯ กทม.อีกสมัย




วันนี้ (6 ก.ย.) นายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า จากการหารือกับกลุ่ม ส.ส.กทม. ต่างแสดงความเห็นด้วยกับการสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัฒน์ ผู้ว่าฯ กทม. ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อีกหนึ่งสมัย เพราะเห็นว่าไม่มีข้อบกพร่อง ที่สำคัญมีภาพของความประนีประนอม ไม่เล่นการเมืองมาก แต่หากมีการเปลี่ยนคนที่นิยมการเมืองแรง ๆ ก็จะไม่เหมาะสมกับสภาพการเมืองในปัจจุบัน และที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยประกาศผ่านสื่อมาแล้วว่าจะสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนที่มีการวิเคราะห์กันว่า นายกรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สนใจลงสมัครนั้น ถือเป็นเพียงแค่การวิเคราะห์ ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริง.


แหล่งที่มา http://www.dailynews.co.th/politics/153740

"ปลอด"ชักธงเขียวเปิดปฎิบัติการซ้อมระบายน้ำ


เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ ( 5 ก.ย.) ที่ศูนย์ประสานงานภาคสนาม ปากซอยเพชรเกษม 102/4  ซึ่งเป็นจุดทดสอบประสิทธิภาพการระบายน้ำฝั่งตะวันตก บริเวณปลายคลองทวีวัฒนา   เจ้าหน้าที่จากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และการเกษตร หรือสสนก. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  กองทัพเรือ กรมชลประทาน  และกทม. ร่วมทดสอบประสิทธิภาพการระบายน้ำ  ทั้งนี้ กทม.และกองทัพเรือ ได้นำเรือผลักดันน้ำ 10ลำ พร้อมเครื่องผลักดันใต้น้ำ2 เครื่อง มาติดตั้งบริเวณหน้าประตูระบายน้ำ  ซึ่งมีการใช้อากาศยานไร้นักบิน หรือยูเอวี  ในการบินตรวจสอบพร้อมทั้งติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อออนไลน์ข้อมูลเชื่อมโยงไปยังที่ศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ปลายน้ำ ที่ตั้งอยู่ที่ สสนก.
ต่อมาเวลา 13.40 น. วันเดียวกัน นายปลอดประสพ  สุรัสวดี  รมว.วิทยาศาสตร์ ในฐานะประธานกบอ. ได้เดินทางมาถึงศูนย์ประสานงานภาคสนาม เพื่อตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์   และรับการชี้แจงขั้นตอนการปฎิบัติงานจาก ดร.สมัย ใจอินทร์  ผู้เชี่ยวชาญกองทัพเรือกรรมการคณะอนุกรรมการการติดตาม วิเคราะห์สถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ กบอ.   จากนั้นจึงเข้าประจำจุดเปิดการปฎิบัติการ เมื่อได้รับสัญญาณแจ้งจากนายรอยล  จิตรดอน ผู้อำนวยการสสนก.
นายปลอดประสพ ได้ยกธงเขียว เพื่อเป็นสัญญาณให้เรือผลักดันน้ำทั้ง 12 จุด  เดินเครื่องเต็มกำลัง  นายปลอดประสพ   กล่าวว่า หลังจากที่เดินเครื่องผลักดันน้ำ 20 นาที  พบว่าน้ำที่ไหลผ่านประตูน้ำ มีอัตราการไหลประมาณ 0.424 เมตร เมตร ต่อวินาที จากเดิมก่อนเดินเครื่อง ที่มีเพียง 0.2 เมตร ต่อวินาที ถือว่าเป็นการทดสอบที่น่าพอใจ  หากมีน้ำเต็มคลองจริง ๆ จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ดีกว่า ช่วงน้ำท่วมเมื่อปี 54 ถึง 3 เท่า จุดนี้ ถือเป็นการประเมินขีดความสามารถขั้นต่ำสุด เนื่องจากปลายคลองทวีวัฒนา จะมีสภาพแคบ ตื้นเขินและที่สำคัญมีสะพาน ซึ่งมีตอม่อ ขวางทางน้ำเอาไว้ ทำให้การระบายน้ำยากยิ่งขึ้น 
สำหรับการทดสอบวันนี้จะถูกนำไปปรับแก้แบบจำลองบนโต๊ะ หากได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้  เชื่อว่าปีนี้ ชาวกทม.จะปลอดภัยจากน้ำท่วมแน่นอน  ขอให้ทุกคนให้เลิกกังวลใจ ส่วนการทดสอบการระบายน้ำในฝั่งตะวันออกในวันที่ 7 ก.ย.นี้  จะเป็นคนละแบบกัน เพราะพื้นที่ฝั่งตะวันออกนั้น ทำยากกว่ามาก เนื่องจากมีอุปสรรคจากหลายปัจจัย เช่น คลองแคบ  มีสิ่งก่อสร้างรุกล้ำ 2 ฝั่งคลอง และประชาชนอยู่อาศัยมาก  แต่มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหา เพราะเรื่องของวิชาการ และวิทยาศาสตร์  ซึ่งจะต้องนำมาปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของประชาชน.
แหล่งที่มา http://www.dailynews.co.th/politics/153549

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สาวพนง.โรงแรมพัทยาโดดตึก น้อยใจแฟนแอบมีกิ๊ก


 เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 29 ส.ค. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถาน เมืองพัทยา ได้รับแจ้งเหตุมีหญิงไทยกระโดดตึก ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดอาคารฮัจยีอิมรอน ประดับญาติ 2 ตั้งอยู่เลขที่ 16/355 ม.9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงนำกำลังอาสาสมัครกู้ภัยฯ และรถเคลื่อนที่เร็ว รีบรุดไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุมีชาวบ้านต่างพากันยืนมุงดูเหตุการณ์ ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อ คือ น.ส.กะทิ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา นอนคว่ำหน้า อยู่ในสภาพหายใจติดขัด และกระดูกแขนผิดรูป ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ จึงปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวส่งโรงบาลพัทยาเมโมเรียล เพื่อรักษาอาการ

 สอบถามนายอาทิตย์ นามกระโทรก อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นแฟนของคนเจ็บ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนพักอยู่บนชั้นที่ 2 ของอาคาร แฟนของตนได้ออกไปกินเหล้ากับเพื่อน ก่อนกลับมาช่วงดึก ก่อนที่แฟนสาวจะกล่าวหาว่าตนเองแอบไปมีกิ๊ก ในช่วงตอนไปดื่มเหล้า จนกระทั่งมีปากเสียงกันพักหนึ่ง จู่ๆแฟนของตนก็วิ่งไปที่ระเบียงห้องแล้วก็กระโดดลงไป ตนวิ่งตามแต่คว้าตัวไว้ไม่ทัน จึงได้โทรหาเจ้าหน้าที่เพื่อนำแฟนไปรักษาตัวดังกล่าว


แหล่งที่มา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.phpnewsid=TVRNME5qSXdOamczTUE9PQ==&subcatid=

“เฉลิม”จวกองค์กรสิทธิฯ ค้านประหารนักค้ายา 15 วัน

   วันนี้ ( 29 ส.ค. ) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาคัดค้านโทษประหารนักค้ายาเสพติดภายใน 15 วัน ว่า ฝากบอกไปยังองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและนอกประเทศ ที่คัดค้านแนวความคิดตนกรณีนักโทษคดียาเสพติดรายใหญ่ที่ศาลตัดสินประหารชีวิตแล้วควรต้องประหารชีวิตภายใน 15 วัน จากเดิมต้องเลย 60 วันนั้น ที่ผ่านมาเกิดเหตุเอาระเบิดขว้างบ้านผู้คุมเรือนจำ จ. สงขลา และมีการยิงเรือนจำที่ จ.ชลบุรี ซึ่งตนได้เรียกนายตำรวจมากำชับและปรึกษากับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ซึ่งเขาทราบเบาะแส และดำเนินการจับกุมแล้ว ผู้ต้องหาสารภาพว่านักโทษในเรือนจำจ้างวาน ในระหว่างสอบผู้ต้องหาขยายผลได้อาวุธสงครามมา 2 กระบอก และนักโทษโทรเข้ามือถือผู้ต้องหา ตนสั่งการไปว่าต้องจับกุมนักโทษดังกล่าวด้วยเพราะเป็นตัวการร่วมกัน กรณีเช่นนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนจะว่าอย่างไร อยู่ในคุกยังมีอิทธิฤทธิ์ ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่น และต้องเห็นด้วยกับตน ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองไปไม่ได้ เพราะอาละวาดกันหนัก ส่วนกรณีเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช ที่จะมีการย้ายทั้งผู้คุมและนักโทษนั้น ตนได้บอกกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไว้แล้ว ถ้ามีฤทธิ์เดชมากก็ย้ายไปไว้ภาคอื่น เพื่อให้ขาดความคล่องตัว และเชื่อว่าเครือข่ายต่างๆ จะลดน้อยลง 
              เมื่อถามว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนมองในแง่มนุษยธรรมเป็นหลัก ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เรื่องยาเสพติดในตะวันออกกลาง มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม จับแขวนคอและมีโทษประหารชีวิตทั้งนั้น  ทำไมไม่ไปพูดกับเขามา มายุ่งอยู่เฉพาะประเทศไทย แล้วเราทุกข์สาหัสเพราะบ้านเราติดกับประเทศพม่า ตนเดินหน้าตรงๆ ไม่มีประเทศเพื่อนบ้านแล้ว จะทำอย่างไรกันคนไทยต้องตกทุกข์ลำบากอยู่อย่างนี้ เมื่อถามว่าเป็นสาเหตุที่นักค้ายาลอยนวลอยู่เพราะไม่มีการทำลายเครือข่ายหรือยึดทรัพย์อย่างจริงจังหรือไม่  ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็มันสบายมา 2 ปี 8 เดือน ซึ่งช่วงดังกล่าวรัฐบาลเปิดประตูประชุมอย่างเดียว ไม่เคยสัมผัสพื้นที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง และไม่ทำอะไรจึงระเบิดเถิดเทิงอย่างนี้ ดังนั้นจึงต้องแตกหัก

 
แหล่งที่มา  http://www.dailynews.co.th/politics/152276 
 

ครม.ไฟเขียวมหาดไทยเปิดเวทีประชาคมแก้รธน.

         แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าในการประชุมครม.ในวันนี้ ครม.ได้มีมติรับทราบ แนวทางการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ตามที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้เสนอ โดยสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยเสนอนั้นเป็นการตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญในส่วนกลาง จังหวัด และอำเภอ
         คณะกรรมการฯในส่วนกลางจะมีรองนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.มหาดไทย เป็นประธานฯ ส่วนคณะกรรมการระดับจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานฯ และคณะกรรมการฯระดับอำเภอมีนายอำเภอเป็นประธานฯ สำหรับการขับเคลื่อนนั้นจะมีการจัดประชุมสัมมนาและรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาจะประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ จากทั่วประเทศ ผู้ว่ากทม. ปลัดกทม. และผอ.เขตในกทม. รวมแล้ว 1,082 คน รวมทั้งจะมีการจัดเวทีสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในระดับจังหวัดและกทม.ด้วย 
         “นอกจากนี้จะมีการจัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อรับฟังความคิดเห็น ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน ทั่วประเทศ รวม 79,888 หมู่บ้านและชุมชน ส่วนกทม.ก็จะมีการจัดเวทีประชาคมชุมชนในกทม.เพื่อรับฟังความคิดเห็นใน 2,016 ชุมชนด้วย” แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้มีการเสนอจำนวนงบประมาณและกรอบระยะเวลาในการดำเนินการมาให้ครม.รับทราบแต่อย่างใด


แหล่งที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

To... my friend


จริยธรรมนักการเมืองกับการปฏิรูปประเทศ

    สถานการณ์ปัญหาทางการเมืองไทยในปัจจุบันมีความคลี่คลายลงบ้างแล้วและได้มีการพิจารณาถึงการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศ ด้วยแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองนั้นจากทุกภาคส่วนของสังคม ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าประเด็นที่มีความสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การปฏิรูปตัวนักการเมืองเองในเรื่องปัญหาทางด้านคุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งที่ผ่านมานั้นจะเห็นพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติตัวของนักการเมืองบางส่วนทั้งในสภาและนอกสภา ได้สะท้อนภาพออกมาในแง่ลบเป็นส่วนมาก ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองและสถาบันทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง

    คำว่า “จริยธรรม” นั้น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้ว่า “จริยธรรม” หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ,ศีลธรรม, กฎศีลธรรม และคำว่า “คุณธรรม” หมายถึงสภาพคุณงามความดี ส่วนคำว่า นักการเมืองนั้น หมายถึง ผู้ฝักใฝ่ในทางการเมือง, ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา เป็นต้น เมื่อสรุปความโดยรวมแล้วจริยธรรมของนักการเมืองนั้น หมายถึง หลักเกณฑ์หรือข้อปฏิบัติที่ดี หรือการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามของผู้ทำหน้าที่ทางการเมือง
การนำจริยธรรมมาเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับข้าราชการการเมืองหรือนักการเมืองไทยนั้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติไว้ในหมวด 13 ว่าด้วยจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในมาตรา 279 และมาตรา 280 เนื้อหาโดยสรุปคือ การจัดให้มีประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าหากข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐฝ่าฝืนมีความผิดทางวินัย ผู้ดำรงตำแหน่งฝ่าฝืนและเป็นความผิดร้ายแรงให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และถือเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยมติวุฒิสภาได้
    จนกระทั่งสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551ซึ่งระเบียบนี้ได้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2551 เป็นต้นมาและให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2543 นั้น ระเบียบนี้ได้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของข้าราชการการเมืองไว้ในหมวด 2 ซึ่งมีทั้งหมด 23 ข้อ ได้แก่ ข้อ 7 ถึงข้อ 29 เมื่อพิจารณาถึงหัวข้อที่สำคัญ เช่น
- ต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์และเป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพและรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
- ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นพลเมืองดีการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
- ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรม ทั้งโดยส่วนตัวและโดยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ทั้งต้องวางตนให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน
- ต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่นไม่แสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ อาฆาตมาดร้าย หรือใส่ร้ายหรือเสียดสีบุคคลใด
- ต้องรักษาความลับของราชการ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
- พึงพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เอาใจใส่ทุกข์สุขและรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน และรีบหาทางช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ
- ต้องไม่ใช้หรือบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
- ต้องรักษาทรัพย์สินของราชการและใช้ทรัพย์สินของราชการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้นๆ เท่านั้น
- ต้องแสดงความรับผิดชอบตามควรแก่กรณีเมื่อปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เป็นต้น
ดังนั้น มาตรฐานจริยธรรมของข้าราชการการเมืองที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกมาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2551 นั้นถือว่าเป็นหลักที่ข้าราชการการเมือง นักการเมืองต้องปฏิบัติตามระเบียบที่ได้บัญญัติไว้ แต่หากว่านักการเมืองบางส่วนทั้งการอภิปรายในสภาและการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองนอกสภาได้มีการประพฤติปฏิบัติตัวตรงกันข้ามกับมาตรฐานทางจริยธรรมที่ได้กำหนดไว้ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อระบบรัฐสภาและบั่นทอนความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนในประเทศ
ดังนั้น ถ้านักการเมืองปฏิบัติได้ตามหลักเกณฑ์ที่ได้วางไว้นี้ย่อมส่งผลดีต่อการบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี สามารถยกระดับมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองให้ดีขึ้นและเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนทั้งประเทศ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยต่อไป

แหล่งที่มา http://www.ryt9.com/s/tpd/914204

บรรหาร ลั่นร่างแก้ไขรธน.ไม่ล้มล้างปชต.

    ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันว่า ขณะนี้มีเรื่องสำคัญ 2 เรื่องคือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปรองดอง โดยเรื่องรัฐธรรมนูญที่จริงเราไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องกะทันหัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือมาตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย.โดยระบุให้ชะลอการลงมติในวันที่ 5 มิ.ย.และขอให้พรรคได้ชี้แจงในวันที่ 5 ก.ค.ในฐานะที่ผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงขอทำความเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหญ่ไม่ใช่เป็นการล้มล้าง แต่เป็นการแก้ไขบางจุด บางส่วนที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งไปตั้งส.ส.ร.ขึ้นมา และก็ไม่แน่ใจว่าประชาชนจะเลือกใครเข้ามา จะไปสั่งการคงไม่ได้ ซึ่งเมื่อร่างไปเช่นนี้ต่อไปก็เป็นเรื่องของสภา อย่างไรก็ตามทางพรรคก็จะต้องชี้แจงไป ส่วนเรื่องกฎหมายปรองดองเมื่อทางสภาให้เลื่อนไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเลื่อนไปถึงเมื่อไหร่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการระงับความตึงเครียดในช่วงนี้ไปได้พอสมควร
     ส่วนการวิเคราะห์ว่า รัฐบาลนำเรื่องร้อนทั้งสองเรื่องมาพิจารณาควรจะทำทีละเรื่อง นายบรรหาร กล่าวว่า ตอนนี้กฎหมายปรองดองก็เลื่อนไปแล้ว และมาพูดเรื่องรัฐธรรมนูญกันก่อน เมื่อถามต่อว่ามองอย่างไรที่หลายฝ่ายมองว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัย นายบรรหาร กล่าวว่า ตนไม่อยากพูด เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการก้าวก่ายทางการเมือง แต่ในใจรู้แล้วว่าคืออะไร

แหล่งที่มา http://www.ryt9.com/s/nnd/1417669

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประวัติท้าวสุรนารี

ท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม (พ.ศ. 2315-พ.ศ. 2394) บุคคลในประวัติศาสตร์ไทยผู้กอบกู้เมืองนครราชสีมา จากกองทัพของเวียงจันทร์




พุทธศักราช 2369 เจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทน์ เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร ยกกองทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้ แล้วกวาดต้อนครอบครัวชาวนครราชสีมาไปถึงทุ่งสำริด ท่านผู้หญิงโมรวบรวมกำลังหญิงชายเข้าต่อสู้อย่างตะลุมบอน กองทหารเวียงจันทน์แตกพินาศ เจ้าอนุวงศ์ถอยทัพกลับ ในที่สุด กองทัพไทยยกตามไปปราบจับตัวเจ้าอนุวงศ์ ท่านผู้หญิงผู้กล้าหาญได้นามว่าเป็นวีรสตรี กอบกู้อิสรภาพนครราชสีมาไว้ด้วยความสามารถ มีคุณต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านผู้หญิงโม เป็น ท้าวสุรนารี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาปลัดเมืองนครราชสีมา (ทองคำ) ผู้เป็นสวามีท้าวสุรนารี เป็น เจ้าพระยามหิศราธิบดี ปรากฏในพงศาวดารมาจนทุกวันนี้


ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ เดือน 5 ปีชวด จัตวาศก จ.ศ. 1214 (พ.ศ. 2395) อายุ 81 ปี เจ้าพระยามหิศราธิบดีผู้เป็นสวามี ได้ฌาปนกิจศพและสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ วัดศาลาลอย ซึ่งท้าวสุรนารีได้สร้างไว้ ต่อมาเจดีย์ชำรุดลง พลตรีเจ้าพระยาสิงหเสนี (สอาด สิงหเสนี) เมื่อเป็นพระยาประสิทธิศัลการ ข้าหลวงเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา องคมนตรี และรัฐมนตรี ได้บริจาคทรัพย์สร้างกู่ขนาดเล็ก บรรจุพระอัฐิท้าวสุรนารีขี้นใหม่ที่วัดกลาง (วัดพระนารายณ์มหาราช) สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2442


ต่อมากู่นั้นได้ทรุดโทรมลงมาอีก ทั้งยังอยู่ในที่แคบไม่สมเกียรติ พระยากำธรพายัพทิศ (ดิส อินทรโสฬส) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายพันเอกพระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) ผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 5 พร้อมด้วยข้าราชการและประชาชนชาวนครราชสีมา ได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีด้วยทองแดง นำอัฐิของท่านมาบรรจุไว้ใต้ฐานรอง สร้างเสร็จประดิษฐานไว้ ณ ประตูชุมพลนี้ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2477


ครั้นพ.ศ. 2530 ฐานอนุสาวรีย์ชำรุด ข้าราชการและประชาชนชาวนครราชสีมา มี นายสวัสดิวงศ์ ปฏิทัศน์ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ได้ร่วมใจกันสร้างฐานอนุสาวรีย์ บรรจุอัฐิท้าวสุรนารี ขึ้นใหม่ ณ ที่เดิม เพื่อให้เป็นศรีสง่าแก่บ้านเมือง และเชิดชูเกียรติท้าวสุรนารี วีรสตรีไทยตลอดกาลนาน สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530


วีรกรรมของคุณหญิงโมนั้นเป็นที่คนไทยรุ่นหลังทราบดีว่า ท่านได้เป็นหัวหน้ารวบรวมครอบครัวชายหญิงชาวนครราชสีมา (ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย) เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุ่งสำริด แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๖๙ ที่ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด วีรกรรมอันห้าวหาญของคุณหญิงโม เมื่อทราบไปถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี และได้รับ พระราชทานเครื่องยศ ดังนี้ถาดทองคำใส่เครื่องเชี่ยนหมาก ๑ ใบ จอกหมากทองคำ ๑ คู่ ตลับทองคำ ๓ ใบเถา เต้าปูนทองคำ ๑ ใบ คนโทและขันน้ำทองคำอย่างละ ๑ ใบ อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐ เหตุการณ์ที่สมควรจะบันทึกไว้ในปี




พุทธศักราช ๒๕๒๔ คือเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนื่องแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า


“ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง

แหล่งที่มา: http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/ท้าวสุรนารี

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศาลฎีกา เลือกตั้ง เพิกถอนการสรรหา “ศรีสุข ส.ว.สรรหา”

ที่ศาลฏีกา แผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (26 ก.ค.) ศาลนัดฟังคำสั่งคดีดำ ลต.(ส.ว.) 2/ 2555 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี นายศรีสุข รุ่งวิสัย ผู้คัดค้าน กรณีกกต.เพิกถอนสิทธิการสรรหาของนายศรีสุข เนื่องจากกกต.ได้รับบัตรสนเท่ห์ว่า นายศรีสุขเป็นผู้เสียสิทธิและไม่ได้แจ้งเหตุแห่งการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นนทบุรี เมื่อวันที่ 25 ม.ค.52 เมื่อ กกต.ตั้งอนุกรรมการไต่สวน และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เดิมนายศรีสุขมีภูมิลำเนาใน จ.นนทบุรี และเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นนทบุรี นายศรีสุขไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต่อมานายศรีสุขย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่เขตบางแค กทม. โดยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.53 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และสมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานคร (ส.ข.) การเลือกตั้ง 2 ประเภท กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งแตกต่างกัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ก.จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนไม่น้อยกว่า 1 ปี ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ข.จะต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 90 วัน นายศรีสุข แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ก. แต่ตรวจสอบแล้วพบว่านายศรีสุขมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เขตบางแคไม่ถึง 1 ปี ดังนั้น นายศรีสุขจึงเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ก. จึงถือว่าก่อนวันลงทะเบียนเข้ารับสรรหาเป็น ส.ว. นายศรีสุขเป็นผู้เสียสิทธิเลือกตั้ง เพราะไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นนทบุรี เมื่อวันที่ 25 ม.ค.52
เมื่อถึงเวลานัด นายศรีสุขได้แถลงต่อศาลขอเลื่อนฟังคำสั่งออกไป โดยรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน แต่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็น จึงให้อ่านคำสั่งวันนี้
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า กกต.มีอำนาจยื่นคำร้องในคดีนี้ เนื่องจากมีอำนาจยื่นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 238 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. พ.ศ.2550 โดยยื่นภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันประกาศรับรองผลการสรรหาส.ว.เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 54 โดยคดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติในการถูกเสนอชื่อเข้าเพื่อเข้ารับการสรรหาส.ว.หรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.)จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันที่ 25 ม.ค. 52 โดยไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นเหตุให้เสียสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) แต่ต่อมาในคราวที่ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) วันเดียวกันในวันที่ 29 ส.ค.53 ซึ่งผู้คัดค้านไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งส.ก. เพราะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ครบระยะเวลาที่พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 กำหนดไว้ คงมีสิทธิ์เลือกตั้งเฉพาะส.ข.เพียงอย่างเดียว ผู้คัดค้านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่มีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิต่อผู้อำนวยการเขตบางแค เห็นว่า กำหนดระยะเวลาการเสียสิทธิตามมาตรา 26 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งถัดมาจริงๆ เท่านั้น ดังนั้น  ผู้คัดค้านจึงยังเป็นผู้เสียสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นส.ว. การที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นส.ว. จึงไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีผลให้การสรรหาส.ว.เป็นไปโดยไม่ถูกต้อง โดยผู้คัดค้านเข้าใจคลาดเคลื่อนเองว่า เมื่อไม่ได้ไปเลือกตั้งส.ข.แล้วได้ทำหนังสือแจ้งเหตุผลไปถึงผู้อำนวยการเขตบางแค แม้จะไม่มีหนังสือตอบกลับว่าเหตุผลดังกล่าวไม่มีเหตุอันควร ผู้คัดค้านจึงเข้าใจว่าตนยังไม่เสียสิทธิ  กรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านยินยอมให้สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาฯ เสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นส.ว.โดยไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้คัดค้านตามคำร้อง อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 240 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. มาตรา 134 จึงคำสั่งให้เพิกถอนการสรรหาส.ว.ในส่วนของนายศรีสุข รุ่งวิสัย ผู้คัดค้าน และให้มีการสรรหาส.ว.ใหม่ในส่วนของผู้คัดค้าน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังพิพากษาแล้ว นายศรีสุขรีบเดินออกจากอาคารศาลฎีกาไปที่ลานจอดรถทันที โดยระบุสั้นๆ ว่า โอเคครับ ส่วนคดีหมายเลขดำที่ ลต.(ส.ว.) 1 / 2555 กรณีของนายสัก กอแสงเรือง ส.ว.สรรหา ที่ถูกกกต.เพิกถอนสิทธิการสรรหาด้วยมติเอกฉันท์ เนื่องจากขาดคุณสมบัติในการถูกเสนอชื่อเข้ารับการสรรหา กรณีที่นายสักพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง หรือพ้นจาก ส.ว.ชุดเลือกตั้งปี 2543 มายังไม่ถึง 5 ปี จนถึงวันได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหานั้น ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง นัดฟังคำสั่งวันที่ 1 ส.ค.นี้ เวลา 14.30 น.

แหล่งที่มา  
http://www.dailynews.co.th/politics/138040

ศาลรัฐธรรมนูญ แพร่คำวินิจฉัยกลาง ให้แก้ รธน.รายมาตรา – ทำประชามติ




ศาลรัฐธรรมนูญ แพร่คำวินิจฉัยกลาง ชี้ชัดให้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา หากแก้ทั้งฉบับต้องทำประชามติ


Mthai News ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่คำวินิจฉัยกลางที่ 19-22/2555 จำนวน 29 หน้าลงในเว็บไซต์ ตามที่มีผู้ร้องให้ศาลวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เป็นการล้มล้างการปกครองหรือเป็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง


โดยวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งขัดกับมาตรา 68 หรือไม่ โดยในรายละเอียดของคำวินิจฉัย ระบุว่า ประชาชนมีสิทธิที่จะยื่นร้องต่อรัฐธรรมนูญโดยตรง หากพบเห็นพฤติกรรมล้มล้างการปกครองโดยไม่จำเป็นที่จะต้องร้องผ่านอัยการสูงสุดได้เพียงช่องทางเดียว


ส่วนในประเด็นการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากจะต้องมีการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ จะต้องมีการทำประชามติก่อน แต่รัฐสภาสามารถที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ในรายมาตรา ตามเจตนารมณ์ของมาตรา 291


อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของผู้ถูกร้อง ซึ่งประกอบด้วย รัฐบาล ส.ส. และ ส.ว. ยังไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครองหรือเป็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง โดยวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ


โดยในระหว่างที่ผู้ถูกร้องดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยได้ว่ามีพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่ จนกว่าจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เมื่อยังไม่มีความผิดเกิดขึ้น จึงมีความวินิจฉัยให้ยกคำร้องทั้งหมด

แหล่งที่มา  http://news.mthai.com/politics-news/179588.html

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทุกข์และปัญหาของมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์

ทุกข์และปัญหาของมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์

            แท้ที่จริงแล้วความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่คู่กันกับโลกและมนุษย์มาโดยตลอด มนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์นั้นมีทุกข์เพราะไม่รู้จักธรรมชาติ ตกอยู่ในความสงสัยและหวาดกลัวเพราะยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ ต่อเมื่อหลังจากได้เรียนรู้และวิวัฒน์ตนเองมาเป็นลำดับแล้วทุกข์ในเรื่องความไม่รู้จักธรรมชาติจึงค่อยๆลดน้อยลง ต่อมาเมื่อมนุษย์สามารถอาศัยธรรมชาติและควบคุมธรรมชาติได้มากขึ้น ผลจากครอบครองและการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติอย่างไม่ลดละก็กลับทำให้มนุษย์ทุกข์เช่นเดิมอีก  ยิ่งในยุคแห่งการพัฒนาและยุคโลกาภิวัตน์นี้แล้วทุกข์และปัญหาของมนุษย์ก็นับว่ามีเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอันมาก (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการติดต่อสื่อสารที่ทำให้โลกนั้นดูแคบลง หรือด้วยเหตุผลอันเกิดจากการพยายามใช้ทฤษฎีการพัฒนาแบบเดียวกันทั้งโลกก็ตาม)  ทั้งนี้เป็นที่น่าพิจารณาว่าบรรดาความก้าวหน้าทางวิทยาการและความพร้อมต่างๆที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความสุขของชีวิตนั้นไม่อาจลดขนาดของความทุกข์ให้น้อยลงไปได้แต่อย่างใด และหากพิจารณาข้อถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับความทุกข์และการพยายามแก้ไขความทุกข์ของมนุษย์จากนักวิชาการต่างๆในระยะ ๕-๑๐ ปีที่ผ่านมานี้ก็จะพบว่า น้ำเสียง ของนักวิชาการส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นน้ำเสียงที่แสดงความกังวลต่อเรื่องดังกล่าวนี้ไม่น้อย อาทิ[1]

            ....ในประเทศอเมริกานี้ปัญหาสังคมไม่ได้ลดลงเลย กลับมีแต่มากขึ้น ทั้งเรื่องความเสื่อมทางศีลธรรม ปัญหาเยาวชน เรื่องอบายมุข ปัญหาการติดสิ่งเสพติด ปัญหาความรุนแรงและอาชญากรรม การแบ่งแยกเชื้อชาติแบ่งผิว ปัญหาเหล่านี้ระบาดไปในประเทศต่างๆจนทั่วโลก ประเทศอเมริกาเองในปัจจุบันก็ย่ำแย่ทางเศรษฐกิจด้วย มีปัญหาเรื่องความยากจนและการไม่มีงานทำ ส่วนในหลายประเทศก็มีช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจนห่างกันมาก และปัญหาทั่วไปขณะนี้ก็คือการก่อการร้าย การขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ระหว่างชาติศาสนา ระหว่างผิวพรรณ ระหว่างประเทศ มีการสงครามแม้ว่าสงครามในระดับนิวเคลียร์ตอนนี้คนจะกลัวน้อยลง แต่ก็มีสงครามย่อยในประเทศต่างๆมากมาย อันนี้เป็นปัญหาสังคมที่มีมากในยุคที่ผ่านมาคือในยุคอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว...

            เมื่อมองแคบเข้ามาก็เจอกับปัญหาชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะปัญหาในด้านจิตใจ ประเทศที่เจริญแล้วมีปัญหาจิตใจมาก คนทั้งหลายมีจิตใจเร่าร้อน มีความกระวนกระวาย มีความกลุ้ม กังวล มีความเครียดสูง มีความเหงาความว้าเหว่ คนมากขึ้นแต่บุคคลโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น มีความรู้สึกแปลกแยก เป็นโรคจิตโรคประสาทมากขึ้น ฆ่าตัวตายมากขึ้น จิตใจเปราะบาง ชีวิตไม่มีความหมาย นี้ก็ด้านหนึ่ง

            ..หันมาดูทางด้านกายซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิต แม้ว่าจะมีการพัฒนามากขึ้น (และ)เรามีความสามารถในการบำบัดรักษา กำจัดโรคระบาดต่างๆไปได้มากมาย แต่ก็มีโรคใหม่ๆเกิดขึ้นมาที่ร้ายแรง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาแก่มนุษย์อย่างมากทีเดียว เป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตผิดธรรมชาติบ้าง เป็นโรคที่เกิดจากจิตใจที่มีความทุกข์บ้าง เป็นโรคที่เกิดจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสีย เช่นสารเคมีที่ปะปนในอาหารที่กินเข้าไปบ้าง จากความวิปริตทางสังคมหรือศีลธรรมวัฒนธรรมบ้าง ...

            เช่นเดียวกับสุจิตรา  อ่อนค้อม นักวิชาการผู้ได้รับรางวัลความเรียงชนะเลิศระดับนานาชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ก็ยังได้กล่าวไว้ในส่วนหนึ่งของความเรียงซึ่งได้สะท้อนปัญหาและความทุกข์ของพลเมืองโลกไว้อย่างตรงประเด็นและน่าสนใจ ความตอนหนึ่งว่า

            ...หากเราย้อนไปดูในอดีตก็จะพบปัญหาต่างๆของสหัสวรรษที่ผ่านๆมา เช่น ความอดอยากยากจน ความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ ความขัดแย้งในเรื่องศาสนา กรณีพิพาทแย่งดินแดน การก่อการร้าย ยาเสพติด อาชญากรรม การว่างงาน โรคเอดส์ อัตวินิบาตกรรม การก่อความรุนแรง ปัญหาด้านนิเวศวิทยา ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ตามติดชิดใกล้เราดุจเงาตามตัว เราได้ประจักษ์แล้วว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย ขาดสันติภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...

            ...เราประสบกับความล้มเหลวในการอยู่อย่างกลมกลืนกัน และเราได้ทำร้ายความกลมกลืนกันของโลกธรรมชาติโดยพยายามที่จะเอาชนะและกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติมาสนองความอยากที่ไม่รู้จักอิ่มเต็มของเรา ขณะเดียวกันได้ทำร้ายทรัพยากรที่ช่วยเกื้อหนุนชีวิตของเราไว้...จริงๆแล้วเราเป็นอะไรกันแน่คำตอบก็คือเราไม่รู้จักเอาชนะตัวเอง ในศตวรรษที่ผ่านมาเรามุ่งแต่จะเอาชนะธรรมชาติแต่ไม่เคยคิดที่จะเอาชนะตัวเองเลย เราเรียนรู้การต่อสู้กับความรุนแรงและความร้ายกาจของธรรมชาติแต่ลืมเรียนรู้การต่อสู้กับความคิด และการกระทำที่ร้ายกาจของเราเอง เราใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาชีวิตด้านวัตถุ แต่ไม่สนใจที่จะพัฒนาด้านจิตใจ เราทำตัวไม่ต่างคนป่าเถื่อนในสมัยโบราณเท่าใดนักเพราะเราวิวาทและเกลียดชังกันและกัน ปล้นสะดมกัน ต่อสู้และแม้แต่ทำลายชีวิตกัน เราทำตามอารมณ์หุนหันพลันแล่นแทนการใช้เหตุผลและสติปัญญา... [2]

หากพิจารณาตาม น้ำเสียง ที่ปรากฏข้างต้นจะเห็นว่าปัญหาหรือความทุกข์ของมนุษยชาติในยุคโลกาภิวัตน์นี้ดูจะมีปริมาณมากและมีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคยมีหลายเท่าตัว  ในยุคหนึ่งของสังคมมนุษย์เดิมซึ่งดูเหมือนกับจะมีความสุขอยูกับความพอเพียงและความพึงพอใจหลังจากสามารถปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้แล้ว กลับกลายเป็นกำลังตกอยู่ห้วงแห่งทุกข์และปัญหาอันเกิดมาจากการตักตวงเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติอย่างไม่หยุดยั้ง จากเดิมซึ่งมนุษย์เคยยินดีกับความรู้และภูมิปัญญาที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเอาตัวรอดกลับกลายเป็นผู้ได้รับทุกข์สาหัสจากธรรมชาติหลังจากได้ใช้ความรู้และวิทยาการที่คิดค้นขึ้นได้นั้นเอาชนะธรรมชาติจนขาดความสมดุล ฯลฯ  ปัญหาที่มนุษย์ประสบอยู่ขณะนี้ไม่ว่าจะในที่แห่งใด ในวงวิชาการแขนงใดต่างก็หันมาให้ความสนใจกันอย่างเต็มที่เนื่องจากเริ่มตระหนักถึงโทษและภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา  ดังจะเห็นได้ว่ามีร่องรอยของการถกเถียงทางวิชาการในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งนี้งานวิชาการบางเรื่อง เช่น “ Capitalism 3.0: A guide to Reclaiming the Commons” ของ Peter Barnes หรืองานของ John Williamson   จากเรื่อง  What  Washington Means by Policy Reform” ที่เป็นต้นเค้าของ ฉันทามติวอชิงตัน(รวมทั้งตัวของฉันทามติวอชิงตันเอง) ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นสาเหตุหลักของการเกิดข้อบกพร่อง ๕ ประการในการพัฒนาได้แก่ ๑) การทำลายสมดุลธรรมชาติ ๒) การก่อให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจ ๓) กลุ่มประเทศชายขอบและกึ่งชายขอบต่างๆไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้  ๔)  เกิดวัฒนธรรมบริโภคนิยมอย่างขนานใหญ่  ๕) การบริโภคส่วนใหญ่ไม่อาจตอบโจทย์ความสุขที่แท้จริงได้ [3]  การเกิดประเด็นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังเริ่มตื่นตัวและกลับเป็นทุกข์ขึ้นอีกครั้งหลังจากได้พบผลร้ายของการพยายามควบคุมและทำร้ายธรรมชาติดังที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่เป็นสาระสำคัญก็คือมนุษย์จะเลือกใช้กลวิธีแก้ทุกข์ที่เป็นอยู่อย่างไร ความรู้และภูมิปัญญาของมนุษย์ซึ่งได้ศึกษาและสั่งสมมามากมายและยาวนานนั้นจะช่วยมนุษย์ให้กลับคืนสู่วิถีทางที่เป็นสุขได้หรือไม่ และหากเป็นไปได้กระบวนการที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร

            ความทุกข์อันหนักของมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์นี้มีมากมายหลายประการ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในทางโลก (หรือโลกวิสัย) มักไม่ได้มีการจัดกลุ่มหรือจัดประเภทของความทุกข์ไว้ดังเช่นที่ในพระพุทธศาสนาได้จัด มนุษยชาติส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจว่าทุกข์นั้นมีทั้งทุกข์ที่เป็นประจำและทุกข์จร[4] การไม่เข้าใจลักษณะของทุกข์ว่าเป็นอย่างไรนี้จึงส่งผลให้ไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาถึงมูลเหตุที่แท้จริงได้ทำให้ความทุกข์นั้นไม่หายไป ขณะเดียวกันเพราะความไม่เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่มนุษยชาติกำลังแสวงหานั้นคืออะไรทำให้การกำหนดเป้าหมายหรือทิศทางในการพัฒนาหรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้น (นับตั้งแต่ปรัชญาแนวคิด วิทยาการ เทคโนโลยี การส่งเสริมความรู้ ฯลฯ) นั้นบิดเบือนไปจนไม่สามารถตอบสนองคุณค่าที่แท้จริงได้ ซึ่งสภาพการณ์เช่นที่กล่าวมานี้ก็ดำเนินมาตั้งแต่ที่มนุษย์เริ่มแสวงหาความรู้และก่อร่างสร้างสังคมมนุษย์ขึ้นแล้ว

            ในยุคโลกาภิวัตน์นี้เนื่องจากวิวัฒนาการสืบเนื่องมาจาก ยุคแห่งการพัฒนา และยุคแห่งการพัฒนาก็สืบเนื่องมาจากยุคปฏิวัติอุสาหกรรม (Industrial Revolution) ยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการตามลำดับ เพราะเหตุนั้นเป้าหมายและการดำเนินการของมนุษย์จึงมีลักษณะที่เน้นย้ำมาตามแนวทางเดิมตลอดมาคือ การมุ่งพัฒนาความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก (โดยมักจะละเลยต่อระบบความสัมพันธ์และความสมดุลของธรรมชาติ) ส่งผลให้ในท้ายที่สุดมนุษยชาติจึงต้องเป็นทุกข์เพราะปัญหาอันเนื่องมาจากความขัดแย้งด้านทรัพยากรมากขึ้นเรื่อยๆคล้ายกับไม่มีจุดจบ การแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้านทรัพยากรเหล่านี้จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถบรรลุถึงความสุขที่ยั่งยืนได้ดังที่ควรจะเป็น

           

ทั้งนี้ ตัวอย่างร่องรอยของปัญหาที่เกิดขึ้นที่ลุกลามมาจนถึงปัจจุบันมีอาทิ [5]

·       ปัญหาจากการที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรบนพื้นผิวโลกไปมาก คือใช้ไปร้อยละ ๗๐ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ และร้อยละ ๑๒๐ ในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๒

·       ปัญหาความยากจนจำนวนมากของประชากรโลกสูงถึง ๑.๑ พันล้านคนจาก ๖.๕ พันล้านคน ประชากรเหล่านี้มีรายได้น้อยกว่าวันละ ๑ ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ ๔๐ บาท) คนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารและน้ำสะอาด ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่ได้รับบริการพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

·       ปัญหาของการที่เด็กๆได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่ทั่วถึงและไม่เท่าเทียมโดยเฉพาะในแอฟริกาตอนใต้เด็กหญิงมีระดับการศึกษาต่ำกว่าเด็กชายมาก

·       ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV อย่างรุนแรง กล่าวคือประมาณ ๔๐ ล้านคน ขณะที่เชื้อมาลาเรียก็ยังคงคร่าชีวิตมนุษย์สูงถึงปีละราว ๓ ล้านคน

·       ปัญหาสตรีเสียชีวิตขณะคลอดในประเทศกำลังพัฒนาในปริมาณมาก สาเหตุเพราะระบบการแพทย์และสาธารณสุขยังไม่ได้รับการพัฒนาที่ดีพอ

ฯลฯ



            จุดบกพร่องใหญ่ๆที่ทำให้ยุคโลกาภิวัตน์เริ่มเป็นยุคที่มนุษย์มีความทุกข์มากขึ้นจึงย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของการที่พยายามสร้างโลกไร้พรมแดน (Global World)ขึ้นโดยปราศจากการเตรียมการที่ดีไว้ล่วงหน้า มนุษยชาติอาจยินดีต่อการที่ผู้คนในโลกสามารถเดินทางถึงกันได้อย่างรวดเร็ว สื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว แลกเปลี่ยนความเจริญก้าวหน้าในรูปแบบต่างๆกันได้อย่างรวดเร็วทันอกทันใจ แต่ผลของการที่ไม่ได้ตระหนักถึงการเตรียมตัวที่ดีไว้ล่วงหน้าทำให้กระแสดังกล่าวไปกระตุ้นความอยากได้อยากมีของผู้คนในสังคมที่ด้อยกว่าให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้สังคมที่แตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่นเกิดการ เปรียบเทียบความเจริญ ต่อกัน ขณะที่ผู้คนในประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าต่างพยายามถีบตัวขึ้นเพื่อให้ทัดเทียมประเทศที่ก้าวหน้าโดยลืมหันมองรากฐานของตนเอง ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยิ่งยั่วยุประเทศอื่นให้เร่งการถีบตัวนั้นให้มากขึ้นอีก พร้อมกับยิ่งยกระดับมาตรฐานของนิยามคำว่า พัฒนา ให้สูงขึ้นไปอีกเช่นกัน ด้วยเหตุดังกล่าวจึงยิ่งทำให้โลกที่ไร้พรมแดนยิ่งเป็นโลกที่มีแต่การดิ้นรนและเร่งเร้าให้เกิดความทุกข์มากขึ้นไปอีกในทุกหย่อมหญ้าของโลก อย่างไรก็ตามในทุกวันนี้เมื่อประชาคมโลกต่างเห็นความจริงและเริ่มตระหนักถึงผลร้ายดังกล่าวนี้แล้วเราจึงได้เห็นว่าทิศทางของสังคมโลกส่วนหนึ่งจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปดังปรากฏว่าบางประเทศเริ่มตั้งลำนโยบายของตนใหม่ องค์การสหประชาชาติมีการแสดงจุดยืนในการช่วยเหลือประชากรโลกที่กำลังเดือดร้อน องค์กรบรรเทาทุกข์จำนวนมากเกิดขึ้นเพื่อเข้ามาเป็นอีกเรี่ยวแรงหนึ่งในการแก้ปัญหา (ทั้งนี้แม้แต่ประเทศยักษ์ใหญ่บางประเทศที่เคยเป็นต้นตอแห่งปัญหาก็หันมาร่วมในกระบวนการแก้ไขด้วย) ซึ่งหากกล่าวเฉพาะในเรื่องความยากจนเพียงประการเดียว ยอดเงินที่ต้องใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการพัฒนาทั่วทั้งโลกประมาณ ๑ แสน ๖ หมื่นล้านดอลล่าร์ต่อปี[6] สัญญาณดังกล่าวนี้แม้ในทางหนึ่งควรนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นที่สั่งสมมาก่อนยุคโลกาภิวัตน์ดังกล่าวแล้ว











[1] พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) (ปัจจุบันเป็นที่พระพรหมคุณาภรณ์),การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development),(ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑) หน้า ๓๔-๓๘

[2] สุจิตรา  อ่อนค้อม.๒๕๔๖, การสร้างสันติภาพแบบยั่งยืน ความเรียงรางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติจากองค์กรนักคิดใหม่ เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑), พ.ศ. ๒๕๔๖, หน้า ๒-๓ 

[3] แท้ที่จริงแล้วต้นเค้าของการวิพากษ์เรื่อง Capitalism 3.0: A guide to Reclaiming the Commons” ของ Peter Barnes นี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิด “ ทุนนิยม ๒.๐ ที่เกิดมาก่อนหน้านี้แล้วด้วย เพราะแนวคิดทุนนิยม ๒.๐ นั้นเองที่เปลี่ยนแปลงฐานคิดจากทุนนิยม ๑.๐ ที่เพียงเน้นเรื่อง “ทุนนิยมเพื่อบรรเทาความขาดแคลน” มาเป็น “ทุนนิยมที่ไม่มีข้อจำกัดในการผลิต” ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนทุนนิยม ๓.๐  หลายประการ ขณะเดียวกัน แนวคิดทุนนิยม ๒.๐ เองก็ได้รับการสนับสนุนจากค่ายทุนนิยม ซึ่งภายหลังถูกวิวัฒน์มาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า “ TINA” อันหมายถึง “พลังของตลาดและทุน” ซึ่งในที่สุดได้กลายเป็นต้นรากของความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตและพลังของประชาชนที่เดือดร้อนเพราะการผลิตที่ไร้ขอบเขตดังกล่าว (ดูใน สุวิทย์  เมษินทรีย์. โลกพลิกโฉม ความมั่งคั่งในนิยามใหม่.กรุงเทพฯสยามเอ็มแอนด์บี พับลิชชิ่ง.๒๕๕๐)



[4] ทุกข์ประจำ คือ ทุกข์ที่อยู่กับตัวมนุษย์ตลอดเวลาตั้งแต่วันที่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ วัยชรา จนกระทั่งถึงวันที่จากโลกนี้ไปอย่างไม่หวนกลับ ได้แก่

๑. ทุกข์ คือ การเกิด เป็นทุกข์ประจำอันบังเกิดแก่สัตว์ ที่ถือกำเนิดอยู่ในวัฏสงสาร
๒. ทุกข์ คือ ความแก่ เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้ร่างกาย ตา หู จมูก ปาก อวัยวะภายใน-ภายนอก ทรุดโทรม เสื่อมถอย คร่ำคร่า วิกลวิปริต
๓. ทุกข์ คือ ความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้ประสบทุกขเวทนาด้วยประการต่างๆ
๔. ทุกข์ คือ ความตาย เป็นทุกข์ที่มีลักษณะตัดเสียซึ่งการมีชีวิต  

ทุกข์จร คือ ทุกข์ที่แวะเวียนเข้ามาให้เกิดความเดือดร้อนกายและใจเป็นบางครั้งบางคราว ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่แวะเข้ามา ก็ทำเอาเจ็บปวดใจและกายอย่างสาหัสเหลือเกิน ได้แก่

๑. ทุกข์ คือ ความโศกเศร้า เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้เดือดร้อน พลุ่งพล่าน กระวนกระวาย อัดอั้นตันใจ เหมือนมีไฟสุมอยู่ในอกจนแห้งไปทั้งใจ เหมือนไม่มีชีวิตชีวา   
๒. ทุกข์ คือ ปริเทวะ เป็นทุกข์ที่เป็นต้นเหตุให้ร่ำไห้ ฟูมฟาย หลั่งน้ำตานองหน้า
๓. ทุกข์ คือ ทุกขะ เป็นทุกข์ที่ทำให้จิตใจสลดหดหู่หมดกำลังใจ ไม่สามารถประกอบกิจการงานใดๆ
๔. ทุกข์ คือ โทมนัสสะ เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ขัดใจ และขึ้งเคียด
๕. ทุกข์ คือ อุปายาสะ เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้สะอื้นไห้ เพราะความอาลัยอาวรณ์
๖. ทุกข์ คือ อัปปิเยหิสัมปโยคะ เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้ขัดข้องหมองมัว ตรอมใจ ด้วยเหตุที่ต้องประสบสิ่งอันมิได้เป็นที่รัก
๗. ทุกข์ คือ ปิเยหิวิปปโยคะ เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้ขัดข้องหมองมัว ตรอมใจ ด้วยเหตุที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
๘. ทุกข์ คือ ยัมปิจฉัง นลภติ เป็นทุกข์ที่มีลักษณะทำให้หม่นหมอง หมกมุ่น วุ่นวายใจ ในขณะที่ปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่สมปรารถนา

แหล่งที่มา  http://www.vcharkarn.com/vblog/114522/3